Personal > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 14-08-2023

Wealth Weekly Report 14-08-2023
 

#ของมันต้องมี
  • ตลาดปรับมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้นกว่าในอดีต ทำให้ในครึ่งปีหลัง ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ (Yield) ยังมีโอกาสปรับขึ้น ทั้งนี้ทางเราแนะนำนักลงทุนมองภาพที่ยาวขึ้น ด้วยสถานการณ์การลงทุนในครึ่งปีหลังจนถึงปีหน้า บรรยากาศการลงทุนจะอยู่ภายใต้เงินเฟ้อขาลง (Disinflation) ควบคู่กับดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ถูกตรึงไว้ในระดับที่สูงนั้น มักเป็นสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจตามมา ดังนั้นทางเรากำหนดกลยุทธ์การลงทุน จาก Risk & Return พบว่า US Aggregate Bond Fund ของ JPMorgan กองทุนหลักของ MUBOND สามารถตอบโจทย์กับนักลงทุนที่กระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยที่ราคาถูกเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่นักลงทุนเก็งกำไร สามารถรอสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed
  • ทางรัฐบาลกลางจีนได้มีมาตรการกระตุ้นการบริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม EV ขณะที่สหรัฐฯ ให้เครดิตภาษีแก่ผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีเงื่อนไขการจัดหาวัตถุดิบที่เข้มงวด ส่วนด้านสงครามราคาในตลาด EV ทางเราประเมินว่าการแข่งขันด้านราคาของสองยักษ์ใหญ่เจ้าตลาด EV ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แม้ในระยะสั้นจะส่งกระทบต่อห่วงโซ่ทาน แต่จะเกิดการประหยัดต่อขนาด ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลงได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าสงครามราคาที่ยืดเยื้อจะส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำอย่างรถยนต์ EV แต่อุตสาหกรรมต้นน้ำอย่าง ธีมการลงทุน Lithium & Battery จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรม EV

TOPIC FOCUS

ทำไมต้องตราสารหนี้คุณภาพดี (IG)

ภาพรวมตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ กับ ตราสารหนี้คุณภาพ ประเภท Investment grade (IG) ในครึ่งปีหลังยังมีโอกาสที่ผลตอบแทนจากพันธบัตร (Bond Yield) ปรับสูงขึ้น ซึ่งผกผันกับราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวลง จนเป็นเหตุให้ผลตอบแทนจากราคาต่ำกว่าเมื่อเทียบสินทรัพย์อื่น (Underperform) มีปัจจัยมาจาก

  1. ข่าวของ Fitch Rating ออกมาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือเครดิตเรตติ้งของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จาก AAA เหลือ AA+ แม้ทาง LH Bank Advisory จะประเมินว่าตลาดไม่ได้ให้น้ำหนักกับข่าวนี้มากนัก แต่ส่งผลต่อไปยังบรรยากาศการลงทุนตราสารหนี้ในทางลบ (Sentiment) อย่างที่นักลงทุนทราบ พันธบัตรสหรัฐฯ ถือเป็นสินทรัพย์อยู่ในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกที่สูงถึง  7.58 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (As of 15 มิ.ย. 23) ซึ่งทำให้พันธบัตรสหรัฐฯ มีอุปสงค์ในการถือครองแม้จะถูกปรับลดเรตติ้งก็ตาม
  2. สถานการณ์ตลาดการลงทุน ให้น้ำหนักเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีความแข็งแกร่งกว่าในอดีต และปรับลดโอกาสเกิดวิกฤตเศรษฐกิจออกไปจากครึ่งปีหลัง ไปปี 2024 เนื่องด้วยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง ประกอบกับอัตราการเติบโตของผลผลิตมวลรวม (GDP) ออกมาดีกว่าตลาดคาด ทำให้ค่าจ้างแรงงานรายชั่วโมงยังเติบโต 4.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นปัจจัยสนับสนุนให้อุปสงค์ในประเทศแข็งแกร่ง และส่งผลให้ระดับเงินเฟ้อปรับลดค่อนข้างเชื่องช้า ดังนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงและรักษาท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินที่แข็งกร้าว เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเหมาะสมและเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงส่งผลเชิงลบแก่จังหวะการลงทุน (Momentum) ในตราสารหนี้ 

จากเหตุปัจจัยข้างต้นส่งผลให้ในครึ่งปีหลัง Yield มีโอกาสปรับขึ้นชั่วคราว ซึ่งทางเราแนะนำนักลงทุนมองภาพที่ยาวขึ้นด้วยบรรยากาศตลาดการลงทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลังจนถึงปีหน้า จะอยู่ภายใต้เงินเฟ้อขาลง (Disinflation) ควบคู่กับดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ถูกตรึงไว้ในระดับที่สูงนี้ เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ย้อนหลังไปในอดีตจาก Figure 1.2 พบว่า การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สดใสภายใต้ระดับดอกเบี้ยสูง ไม่ได้ยืนยันว่าจะไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจตามมา หากแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจพลิกกลับมาเป็นลบในไตรมาสถัดไป เพราะผลของต้นทุนดอกเบี้ยที่สูง ได้ฉุดอุปสงค์ผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้แนวโน้มรายได้ของบริษัทปรับตัวลงตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สร้างผลกระทบต่อเนื่องแก่การจ้างงาน และบริษัทที่มีความเปราะบางด้านสภาพคล่องให้เกิดความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ เมื่อนั้น Fed จะปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัว

ดังนั้นทางเราประเมินผลตอบแทนคาดหวังเทียบกับความเสี่ยง พบว่า JPMorgan Funds – US Aggregate Bond Fund กองทุนหลักของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ยูเอส แอกกริเกท บอนด์ ฟันด์ (MUBOND) มีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นพอร์ตตราสารหนี้คุณภาพดีซึ่งทนทานกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย พร้อมให้ผลตอบแทนคาดหวังสูงถึง 5% ทำให้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และตอบโจทย์กับนักลงทุนที่มองหาการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยที่ราคาถูก ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) แนะนำนักลงทุนรอสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2024

เจาะเทรนด์ EV & Battery

ปัจจุบันจีนครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 60% ของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ขณะที่สหรัฐฯ มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10% ของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก โดยจีนมีอัตราการการใช้งาน (Adoption rate) หรือสัดส่วนของยอดขาย EV ต่อยอดขายทั้งหมดในจีนเท่ากับ 29% เปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ที่มีอัตราการใช้งาน EV เพียง 8% ซึ่งสาเหตุที่ทำให้จีนสามารถครองยอดขายรถ EV กว่าครึ่งโลก เกิดจากการที่รัฐบาลได้วางแผนนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมรถยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านการฟื้นฟูสภาพอากาศ ตั้งแต่ปี 2009 อีกทั้งส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ที่คิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของต้นทุนการผลิตรถ EV ทั้งคัน โดยจีนมีกำลังการผลิตลิเทียม (Lithium) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแบตเตอรี่ กว่า 46% จากเหมืองแร่ลิเทียมทั่วโลก

ทางรัฐบาลกลางจีนได้มีมาตรการกระตุ้นการบริโภคโดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า โดยได้ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาร์จพลังงาน เพื่อส่งเสริมการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น รวมถึงมาตรการอื่นๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งได้ขยายเวลาการลดหย่อนภาษีสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์แบบไฮบริด ขณะที่กฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่จะให้เครดิตภาษีแก่ผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า มีเงื่อนไขการจัดหาวัตถุดิบที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก โดยวัตถุดิบสำหรับผลิตแบตเตอรี่ส่วนใหญ่ยังถูกสั่งซื้อจากประเทศจีน ทำให้การจัดหาวัสดุจากแหล่งอื่นมาทดแทนเพื่อผลประโยชน์จากกฎหมายนี้เป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ในระยะข้างหน้าจะมีการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตแบตเตอรี่ กระตุ้นการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และลดการพึ่งพาจีนมากขึ้น

ด้านสงครามราคาในตลาด EV แม้ว่าจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของ Tesla ในไตรมาส 2/2023 ลดลงมาอยู่ที่ 18.2%YoY จาก 19.3%YoY ในไตรมาส 1/2023 อย่างไรก็ตาม การส่งมอบรถยนต์เพิ่มขึ้น 83%YoY และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 20%YoY เป็นไปในทิศทางเดียวกับ BYD ที่มีการส่งมอบรถยนต์เพิ่มขึ้น 98.17%YoY และคาดการณ์กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงถึง 128.56% - 171.62%YoY ในไตรมาส 2/2023 ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่าการแข่งขันด้านราคาของสองยักษ์ใหญ่เจ้าตลาด EV ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แม้ในระยะสั้นจะส่งกระทบต่อห่วงโซ่ทาน แต่จะเกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลงได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าสงครามราคาที่ยืดเยื้อจะส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำอย่างรถยนต์ EV แต่อุตสาหกรรมต้นน้ำอย่างธีมการลงทุน Lithium & Battery จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของอุตสาหกรรม EV จึงแนะนำการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจสายการผลิตแบตเตอรี่และเทคโนโลยีการขนส่งทั่วโลก เช่น กองทุนเปิด ยูไนเต็ด แบตเตอรี่ แอนด์ อีวี เทคโนโลยี ฟันด์ (UEV) ซึ่งราคาได้ปรับฐานลงมาจากภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) แนะนำหาจังหวะทยอยสะสม

Weekly Report 14-08-2023

Announcement on 14 August 2023

Related articles