ลูกค้าบุคคล > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 12-02-2024

Wealth Weekly Report 12-02-2024
 

Valentine’s Theme
  • เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงวัฏจักร Late Cycle Expansion หรือเป็นช่วงเข้าสู่วัฎจักรสุดท้ายแต่ยังไม่ได้อยู่ในช่วงถดถอย ซึ่งในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง กดดันต้นทุนเงินทุนของบริษัท ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทลดลง แต่สำหรับกลุ่ม Health Care Sector มีความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงแนะนำกองทุน PRINCIPAL GHEALTH-A  เน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง และหุ้นเติบโตที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม
  • ในปี 2024 จะมีการเลือกตั้งกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ซึ่งแม้ว่าผลการเลือกตั้งอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาล กฎระเบียบ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ผลตอบแทนของตลาดโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมากกว่าผลการเลือกตั้งทั้งนี้จากการจ้างงานที่แข็งแกร่งและเงินเฟ้อที่มีทิศทางชะลอตัว หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นอาจพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้นมาแรง แนะนำกลยุทธ์แบบ Buy on dip
  • เหตุการณ์สำคัญที่ขับเคลื่อนการลงทุนเดือนก.พ. ทาง LH Bank Advisory มองว่าจะมี 2 ปัจจัย คือ ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) คาดว่าจะปรับลด YoY แต่เติบโตเล็กน้อย MoM และดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) ยังคงแข็งค่า ดังนั้นกลยุทธ์ประจำเดือนนี้ คือ No Hedge หรือ Dynamic Hedge ขณะที่ท่าทีของ Fed ที่สิ้นสุดดอกเบี้ยขาขึ้น แม้ล่าช้ากว่าที่ตลาดเคยคาดไว้ ถือเป็นการสนับสนุนให้ผลตอบแทนของกลุ่มตราสารหนี้มีความโดดเด่น กองทุนแนะนำ คือ ABGFIX-A 

TOPIC FOCUS

Late-Cycle Investing: Survive and Thrive

ทาง LH Bank Advisory ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในเวลานี้อยู่ในช่วงวัฏจักร Late Cycle Expansion หรือเป็นช่วงเข้าสู่วัฎจักรสุดท้ายแต่ยังไม่ได้อยู่ในช่วงถดถอย จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอการเติบโตลง ทั้งรายงานตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ออกมาที่ 3.1%YoY บ่งชี้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเข้าสู่ค่าเฉลี่ยที่ 3.2%YoY ขณะที่คาดการณ์ GDP ของ S&P ปี 2024 อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะปรับตัวลงสู่ 2.3% 

ทั้งนี้ตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่ง โดยอัตราการว่างงานอยู่ในระดับ 3.7% ซึ่งต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยที่ 4% และตัวเลข Nonfarm payrolls เพิ่มขึ้น 353,000 ตำแหน่งในเดือน ม.ค. ปี 2024 เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่เพิ่มขึ้น 333,000 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามจากการประกาศตัวเลข Household Survey Employment ในเดือน ม.ค. ชะลอการเติบโตลงที่ 0.6%YoY ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ที่ 1.7%YoY ซึ่งเป็นการชะลอตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ

จากปัจจัยข้างต้นที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสอยู่ในช่วงชะลอตัวในครึ่งปีหลัง ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองตลาด CME FedWatch Tool ประเมินว่า Fed เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือน พ.ค. ปี 2024 เพื่อพยุงเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ดังนั้นจึงเกิดคำถามแก่นักลงทุนว่าควรจัดพอร์ตการลงทุนอย่างไร เพื่อรอรับมือกับช่วงถัดไป Late Cycle Expansion 

ด้วยเหตุนี้ทางเราจึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive เนื่องจากมีผลประกอบการค่อนข้างมั่นคง อย่างกลุ่มโรงพยาบาลและสุขภาพ (Health Care Sector) ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ เนื่องจากแรงกดดันจากการจัดหาต้นทุนเงินทุนที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน แต่กลุ่มนี้ค่อนข้างทนทานต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจ เป็นเหตุให้ผลประกอบการเติบโตอย่างมั่นคง อีกทั้งเทคโนโลยีในการคิดค้นตัวยารักษาโรคที่ดีขึ้น จะสามารถสร้างผลิตภาพ (Productivity) เพิ่มขึ้นได้ เป็นเหตุให้ผลประกอบการของบริษัท Eli Lilly บริษัทยาและเทคโนโลยีการแพทย์ ในไตรมาส 4 ปี 2023 เพิ่มขึ้น 28.1%YoY แม้ว่า Valuation ของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและสุขภาพ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาด เมื่อพิจารณาจาก Forword P/E ที่อยู่ในระดับ 19.2 เท่า ขณะที่ S&P500 อยู่ที่ระดับ 20.5 เท่า ซึ่งเราประเมินว่าหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและสุขภาพยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น

กองทุนที่เราแนะนำคือ PRINCIPAL GHEALTH-A เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในอุตสาหกรรม Health Care Sector โดยเป็น Fund of Funds ที่ลงทุนใน AB INTERNATIONAL HEALTH CARE PORTFOLIO ที่ได้ Moring Star Rating 3 ดาวเน้นลงทุนในกลุ่ม Traditional Healthcare ที่เน้นลงทุนบริษัทที่มีคุณภาพสูง เติบโตอย่างมั่งคงในระยะยาว เช่น ผลตอบแทนจากการลงทุนสูง (High returns on invested capital) ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีความได้เปรียบในการแข่งขัน และลงทุนใน Schroder International Selection Fund Healthcare Innovation ที่ได้ Moring Star Rating 5 ดาว เน้นลงทุนใน Healthcare Innovation มีการกระจายการลงทุนเชิงรุกผ่าน 5 ธีมนวัตกรรมการแพทย์  ได้แก่ 1. Advanced therapies 2. Med tech 3. Healthcare services 4. Digital healthcare และ 5. Wellbeing ซึ่ง PRINCIPAL GHEALTH-A เป็นกองทุนที่ Combination ทั้งหุ้น Health Care ที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง เพื่อตอบรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลง และหุ้นเติบโตที่ได้รับประโยชน์จากการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ

Election Year Affects the Stock Markets

ในปี 2024 จะมีการเลือกตั้งกว่า 60 ประเทศทั่วโลกซึ่งครอบคลุมขนาดเศรษฐกิจราว 60% ของเศรษฐกิจโลก โดยจากการวิเคราะห์ของ Goldman Sachs เกี่ยวกับการเลือกตั้งมากกว่า 1,000 ครั้งใน 152 ประเทศ พบว่าการเลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินการคลังและเพิ่มความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดความผันผวนของตลาด โดยพรรคการเมืองมีแนวโน้มที่จะกำหนดนโยบายการคลังแบบขาดดุลมากขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางในบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ จะมีระดับความเป็นอิสระที่ค่อนข้างสูง ทำให้การเลือกตั้งอาจไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบาย  โดยจากแปดรอบการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่ผ่านมา พบว่า S&P500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +7.5% และ +4.2% ในช่วง 12 เดือนและ 9 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง

ส่วนผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของไต้หวัน เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2024 พรรค DPP ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ได้ชนะการเลือกตั้ง ทำให้ความตึงเครียดระหว่างจีน ไต้หวันและสหรัฐฯ มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น ทั้งนี้ตามรายงานดุลการชำระเงิน จีนมีการลงทุนโดยตรงจากประเทศ (FDI) ติดลบ 11.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3/2023 ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 25 ปี สะท้อนความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน และสำหรับนักลงทุน ความสัมพันธ์ระหว่างจีน ไต้หวันและสหรัฐฯ และห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

สำหรับการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. 2024 จากผลสำรวจประเด็นที่มีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งปี 2024 (Figure 3)นอกจากประเด็นด้านเงินเฟ้อ รองลงมาคือระบบประกันสุขภาพ ซึ่งกลุ่ม Healthcare มักจะมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเชิงลบในปีเลือกตั้งในอดีตที่ผ่านมา จากกฎเกณฑ์การควบคุมราคายาและการปฏิรูประบบประกันสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกัน บริษัทยา และบริษัทต่างๆ ที่มีภาระจ่ายค่าประกันสุขภาพให้พนักงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาหุ้น Eli Lilly บริษัทยาของสหรัฐฯ เติบโตถึง 59% ในปี 2023 โดยได้รับแรงหนุนจากยารักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน และดัชนี S&P500 Health Care Index ปรับตัวขึ้นมา 17% จากจุดต่ำสุดในช่วงเดือนต.ค. 2023 อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมี Valuation ที่ต่ำกว่าภาพรวมตลาด สะท้อนจากค่า Forward PE อยู่ที่ 19.2 เท่า ต่ำกว่าดัชนี S&P500 ที่ซื้อขายกันที่ Forward PE 20.5 เท่า

แม้ว่าผลการเลือกตั้งอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาล กฎระเบียบ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่จาก Figure 4 พบว่าผลตอบแทนของตลาดโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับแนวโน้มทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อมากกว่าผลการเลือกตั้ง โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นและอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงสัมพันธ์กับผลตอบแทนของตลาดที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาว ทั้งนี้จากตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดัชนี PMI จาก S&P Global ของสหรัฐฯ ในเดือนม.ค. บ่งชี้การขยายตัวทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ประกอบกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่มีทิศทางชะลอตัว หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นอาจพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้นมาแรง แนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ Buy on dip

2 Reasons why February May Be a Difficult Month ?

หลังเดือนม.ค.ที่สดใส จากปัจจัยสนับสนุนของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ที่ได้แรงหนุนจากการจับจ่ายช่วง High Season กับตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องเตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงช่วงเข้าสู่เดือน ก.พ. ซึ่งคาดว่าเป็นเดือนที่ยากลำบาก เพราะเหตุการณ์สำคัญที่ขับเคลื่อนการลงทุนเดือนก.พ. ทาง LH Bank Advisory มองว่าจะมี 2 ปัจจัยหลักที่มีโอกาสกดดันการลงทุน คือ ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) และ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) 

  • สถานการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) ปรับลด YoY แต่เติบโตเล็กน้อย MoM ประเมินว่าได้ประโยชน์จากฐานเดือนม.ค. ปีก่อน ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้เงินเฟ้อของเดือนม.ค. 2024 ปรับตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย 2% ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาไปที่ภาคการจ้างงานที่แข็งแกร่งจนผลักดันให้รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 0.6%MoM ซึ่งกลายมาเป็นปัจจัยผลักดันเงินเฟ้อกลุ่มค่าเช่าบ้านและค่าที่อยู่อาศัยให้ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ดังนั้นในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อไม่ได้ปรับตัวลดลงเร็วพอที่จะทำให้ Fed เลิกตรึงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง จะเป็นเหตุให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงผันผวนตามความอ่อนไหวของตลาดที่เก็งกำไรจากนโยบายอัตราดอกเบี้ย และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเส้นผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) โดยพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุสั้นลดลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุยาวปรับสูงขึ้น ทำให้ความแตกต่างผลตอบแทนพันธบัตรอายุยาวขึ้นมาใกล้เคียงกับอายุสั้น (Flattened Twist) ด้วยทิศทางเส้นผลตอบแทนดังกล่าวนี้บอกไม่ได้ว่า เป็น Bull Flattened หรือ Bear Flattening หากแต่ตีความได้ว่าตลาดพันธบัตรยังไม่เชื่อว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเวลาใกล้ๆ นี้ ขณะที่ตลาดมองการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะถัดไปเข้าสู่ช่วงชะลอตัว
  • ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY) แข็งค่า ทดสอบระดับ 106 จุด จากก่อนหน้านี้ที่ทางเราได้วิเคราะห์ถึงโอกาสที่ดอลลาร์สหรัฐฯ มีโอกาสแข็งค่าขึ้นเพราะในเดือนก.พ. ตลาดคาดว่า Fed เลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่เดือน พ.ค. ในขณะเดียวกันทาง ECB ยังคงคาดการณ์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในเม.ย. เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากเงินเฟ้อปรับตัวลดลงสู่ 2.9% และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ขยายตัวเพียง 0.1% เป็นเหตุให้ผลตอบแทนพันธบัตรสกุลเงินยูโร มีความน่าสนใจน้อยกว่าผลตอบแทนพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ จึงทำให้เงินลงทุนไหลเข้าสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์มากขึ้น

ดังนั้นกลยุทธ์เดือน ก.พ. การลงทุนสินทรัพย์ประเภทไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (No Hedge) หรือใช้การป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจ (Dynamic Hedge) ยังมีความน่าสนใจ ขณะที่จากท่าทีของ Fed ที่สิ้นสุดดอกเบี้ยขาขึ้น แม้อาจจะล่าช้ากว่าที่ตลาดเคยคาดไว้ แต่สนับสนุนให้ผลตอบแทนของกลุ่มตราสารหนี้ระยะสั้น-กลางมีความโดดเด่น (Duration 1- 5 ปี) กองทุนแนะนำ คือ Abrdn Global Enhanced Fixed Income (ABGFIX-A) นโยบายการลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ทั่วโลก ที่มี Duration ไม่เกิน 2 ปี เป็นเหตุให้ความผันผวนของผลตอบแทนพอร์ตต่ำ และมีสภาพคล่องสูง อีกทั้งอันดับความน่าเชื่อถือของพอร์ตตราสารหนี้เฉลี่ยระดับ A- ขึ้นไปเพื่อลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ขณะที่เป้าหมาย Portfolio คือ Secured Overnight Financing Rate (SOFR) + 1.75-2.25%

Weekly Report 12-02-2024

ประกาศ ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567

เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง