Personal > LH Bank Advisory > Weekly Report > Wealth Weekly Report 26-06-2023

Wealth Weekly Report 26-06-2023
 

มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์

  • จับชีพจรตลาดหุ้นเวียดนามมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แม้ว่าปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และการชะลอตัวของการส่งออกจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกจะยังเป็นแรงกดดัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเวียดนามได้เดินหน้าออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนโยบายการเงินผ่านการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาและนโยบายการคลังผ่านการเร่งใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ ประกอบกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มฟื้นตัว และด้วยระดับมูลค่า (Valuation) ที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาสฟื้นตัวได้ ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะยาวจึงสามารถทยอยสะสมในตลาดหุ้นเวียดนามได้ 
  • กลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง 2023 ทางเรายังมีมุมมองเชิงลบต่อตลาดการลงทุน พร้อมประเมินสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้น ได้ดังนี้ 1. ทิศทางดอกเบี้ยออกมาผิดจากที่ตลาดคาดหวัง 2. เงินเฟ้อดื้อดึงไม่ยอมลงไปที่เป้าหมาย และ 3. เศรษฐกิจชะลอตัวลงจนเข้าสู่ช่วงถดถอย ทั้งนี้อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทางเรามีมุมมองตามข้างต้น นักลงทุนสามารถติดตามต่อเนื่อง ในหัวข้อ ลงทุนอย่างไรในช่วงเข้าสู่ครึ่งหลังในช่วงครึ่งหลัง
HOT ISSUE TO WATCH THIS WEEK

จับชีพจรเวียดนามครึ่งปีหลัง

ภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องของเวียดนาม (สัดส่วน 12% ของ GDP) ยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่ออุปสงค์ภายในประเทศในระยะสั้น จากยอดค้าบ้านที่อ่อนแอและวิกฤตสภาพคล่องที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ เผชิญจากการจัดระเบียบการออกหุ้นกู้ที่เข้มงวดมากขึ้นของภาครัฐ เพื่อป้องกันความเสี่ยงปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในระยะยาวมาตรการภาครัฐจะช่วยลดการเก็งกำไรในตลาดอสังหาฯและช่วยขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯในเวียดนามให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้รัฐบาลเวียดนามได้ผ่อนปรนฎีกา Decree 65 บางประการ เช่น การอนุญาตให้บริษัทขยายอายุครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ออกไป 2 ปี หากได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้อย่างน้อย 65% และให้ผู้ออกหุ้นกู้ใช้สินทรัพย์อื่น นอกเหนือจากเงินสด เช่น ที่ดิน เพื่อจ่ายดอกเบี้ยหรือไถ่ถอนหุ้นกู้ได้ เพื่อให้ผู้ที่จะเสนอขายหุ้นกู้และตลาดมีเวลาปรับตัวตามข้อบังคับใหม่ แต่สิ่งที่ต้องจับตา คือ แรงกดดันจากหุ้นกู้โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาฯ ที่จะครบกำหนดค่อนข้างมาก (เฉลี่ย 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนในไตรมาส 3/2023)

จากรายงานล่าสุดของธนาคารกลางของเวียดนามได้เปิดเผยข้อมูลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของภาคธนาคารของเวียดนาม มีสัดส่วนเกือบ 3% ของสินเชื่อรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2021 อย่างไรก็ตาม ยังเป็นระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ โดยธนาคารต่างๆ ของเวียดนามมีการปล่อยสินเชื่อให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีสัดส่วนราว 20% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบ

ทั้งนี้ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% ซึ่งเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 ในปีนี้ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับตัวลงช่วยให้เงินบางส่วนไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นมากขึ้น ประกอบกับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังด้วยการเร่งใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ จึงส่งผลบวกต่ออารมณ์ของตลาด (Market Sentiment)

LH Bank Advisory ประเมินว่าปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์และการชะลอตัวของการส่งออกจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกจะยังเป็นแรงกดดันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มฟื้นตัว และด้วยระดับมูลค่า (Valuation) ที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ และความเสี่ยงของภาคการเงินยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ประกอบกับทิศทางนโยบายและมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ ดังนั้นสำหรับนักลงทุนระยะยาวจึงสามารถทยอยสะสมในตลาดหุ้นเวียดนามได้

ลงทุนอย่างไรในช่วงเข้าสู่ครึ่งหลัง I

หากย้อนดูช่วงครึ่งปีแรกของปีภาวะการลงทุนผ่านช่วงเวลา “เงินเฟ้อสูงเกินเป้าหมาย กับดอกเบี้ยถูกปรับขึ้นมากและยาวนานกว่าที่คาด” ซึ่งถือว่าเป็นไปตามที่ทาง LH Bank Advisory ได้คาดการณ์ไว้ในปี 2022

ซึ่งในครึ่งปีหลัง 2023 ทางเรายังมีมุมมองเชิงลบต่อตลาดการลงทุน พร้อมประเมินสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้น ได้ดังนี้ 1. ทิศทางดอกเบี้ยออกมาผิดจากที่ตลาดคาดหวัง 2. เงินเฟ้อดื้อดึงไม่ยอมลงไปที่เป้าหมาย และ 3. เศรษฐกิจชะลอตัวลงจนเข้าสู่ช่วงถดถอย ทั้งนี้อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทางเรามีมุมมองตามข้างต้น นักลงทุนสามารถติดตามต่อเนื่อง ในหัวข้อ ลงทุนอย่างไรในช่วงเข้าสู่ครึ่งหลัง

1. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 2 ครั้ง ในปีนี้ได้จริงหรือไม่

เมื่อพิจารณาไปที่มุมมองตลาด พบว่า มีความเห็นที่แตกต่างจากแนวทางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยที่เฟดได้กล่าวไว้ในการประชุมที่ผ่านมา โดยตลาดให้น้ำหนักโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหลือครั้งเดียวของปีนี้ จาก 5.25% สู่ระดับ 5.50% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่ากลางของ Fed Dot Plot ที่ 5.6% เนื่องจากตลาดคาดว่าระดับเงินเฟ้อกำลังชะลอตัวต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย จึงเป็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับในอดีต ที่เป็นสถานการณ์บ่งชี้ว่าสิ้นสุดของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลและกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยนำทีมด้วยหุ้นกลุ่มเติบโตที่มีประเด็นเฉพาะตัว อย่าง AI ซึ่งทาง LH Bank Advisory มองว่า AI เป็นประเด็นพิเศษที่เกิดในช่วงครึ่งปีแรก ประกอบกับความคลายกังวลในประเด็นอัตราดอกเบี้ย จึงเอื้อต่อการฟื้นตัวของราคาหุ้นในกลุ่ม AI แต่อย่างไรก็ตามด้วยระดับราคาในปัจจุบันทางเราประเมินว่าราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวสะท้อนถึงการซึมซับข่าวดีและการเติบโตในอนาคตไปค่อนข้างมากแล้ว 

ดังนั้นหากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไร้ปัจจัยเชิงบวกใหม่มาสนับสนุน ตลาดมีโอกาสเสี่ยงกลับเข้าสู่ช่วงความผันผวนอีกครั้ง เพราะมีโอกาสที่ดอกเบี้ยออกมาไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ โดยสาเหตุที่ทาง LH Bank Advisory ยังคงมุมมองว่าเฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 5.75% เนื่องด้วยเฟดยืนยันการตัดสินใจบนข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ (Data dependent) อย่างเสถียรภาพด้านราคา เสถียรภาพเศรษฐกิจ และเสถียรภาพระบบการเงิน 
  • เสถียรภาพด้านราคา แนวโน้มของดัชนีราคาผู้บริโภคปรับลดลงในอัตราที่ช้าลงจนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ระดับเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายที่เฟดกำหนดไว้ 2% ซึ่งในเวลานี้ไม่มีแรงผลักดันจากระดับราคาของพลังงานและน้ำมัน จึงสะท้อนว่าการปรับลดลงของระดับเงินเฟ้อที่ล่าช้า เกิดจากฝั่งอุปสงค์ของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่มีความร้อนแรง ดังนั้นเฟดจึงมีความจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อกดดันอุปสงค์ของผู้บริโภค ไม่ให้กลับมาผลักดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น

ลงทุนอย่างไรในช่วงเข้าสู่ครึ่งหลัง I (ต่อ)

  • เสถียรภาพเศรษฐกิจ ครึ่งปีแรกถือว่าภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งมากกว่าที่ตลาดและเฟดคาดไว้ เพราะมีปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญจากอุปสงค์การบริโภคในประเทศสูง เนื่องจากในช่วงโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ทำให้ผู้บริโภคมีเงินออมรวมกับเงินจากนโยบายอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมาก (Stimulus package) สนับสนุนความสามารถจับจ่ายของผู้บริโภค แม้ราคาสินค้าและบริการจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา จึงเอื้อต่อการเติบโตของรายได้บริษัทฯ ในสหรัฐฯ ให้ออกมาดีกว่าที่คาด โดยเฉพาะภาคบริการ
    ดังนั้นจากความแข็งแกร่งของภาคบริการ เป็นเหตุให้รายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่คาด ซึ่งบ่งชี้ด้วย อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับต่ำ 3.7% ทั้งนี้เมื่อทาง LH Bank Advisory เจาะลึกรายงาน FED Projection ใน เดือนมิ.ย. พบว่า มีการปรับทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2023 ขึ้นจาก 0.4% สู่ 1% พร้อมกับปรับอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายจาก 5.1% สู่ 5.6% อันเป็นการสะท้อนว่าในเวลานี้เฟดเชื่อมั่นความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจเพียงพอที่จะรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเป้าหมายในช่วงที่เหลือของปี
  • เสถียรภาพระบบการเงิน จากช่วงต้นปีที่เกิดเหตุการณ์ Bank run ไป 4 แห่ง หนึ่งในนั้นคือ Silicon Valley Bank ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ อันดับที่ 16 ในสหรัฐฯ อันเกิดจากปัญหาการขาดสภาพคล่องและเกิดการขาดทุนของราคาตราสารหนี้ที่ตกต่ำ เพราะได้รับความเสียหายจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ในเวลานั้นเฟดได้แก้ปัญหาด้วย Bank term funding program โดยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถขอกู้ยืมโดยให้พันธบัตรหรือตราสารหนี้ใดๆ เป็นตัวค้ำประกัน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและยับยั้งไม่ให้ความเสียหายลุกลาม หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเฟดได้ปรับลดระดับความเข้มงวดของการอัตราขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ในเวลานี้แม้การระดมเงินทุนในสหรัฐฯ มีความยากลำบากมากขึ้น แต่เมื่อพิจารณาดัชนี Financial Condition ที่สะท้อนความตึงตัวของการระบบเงินทุนในระบบการเงิน พบว่า แม้จะเป็นระดับที่อยู่ในฝั่งตึงตัว แต่มีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปีก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา 5 ครั้งของสหรัฐฯ 
ดังนั้นหากการดำเนินนโยบายของเฟดขึ้นอยู่กับข้อมูล (Data dependent) จากปัจจัยข้างต้น ทำให้ทาง LH Bank Advisory คาดว่าในครึ่งปีหลัง เฟดยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามเป้าหมาย ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ และสร้างความผันผวนแก่ตลาดการลงทุน

Weekly Report 26-06-2023

Announcement on 26 June 2023

Related articles